top of page
ค้นหา

รีวิวขอ PR Australia ด้วยสกิล Accountant

อัปเดตเมื่อ 15 ส.ค. 2563




จุดเริ่มต้น

เริ่มจากการเก็บกระเป๋ามาเรียนภาษาสั้นๆ 6 เดือนที่ เมลเบิร์น มีเสื้อยืดมาสามตัว ไม่เคยคิดเลยว่าจะอยู่ยาวขนาดนี้ ปี 2013 ผมเริ่มเรียนภาษาที่สถาบันสอนภาษาในเมืองตั้งใจฝึกภาษาเพื่อไปเรียนต่อโทเศรษฐศาสตร์ที่อังกฤษ มาครั้งแรกก็สมัครมากับเอเจนโดยที่ผมไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเลย โดยเอกสารทั้งหมดเอเจนเป็นคนดูแลให้ครับ


พอมาถึงวันแรกก็ได้ไปทำงานล้างจานที่ร้านอาหารไทยที่นอกเมือง เขต Bundoora ได้สักพัก ก็ย้ายเข้ามาทำร้านอาหารไทยในตัวเมืองซึ่งผมมั่นใจว่าหากเอ่ยชื่อคงไม่มีใครไม่รู้จัก (ในสมัยนั้นโด่งดังเรื่องโก่งค่าแรง แต่ตอนนี้เจ๊งไปแล้วครับ) ผมทำงานแบบ Cash on hand เก็บเงินได้ประมาณหนึ่ง บวกด้วยค่าที่พักถูกเนื่องจากแชร์ห้องอยู่กันอย่างแออัดเลย บวกกับการเดินทางที่สะดวก ไม่ต้องจ่ายค่าเดินทาง


พอผ่านไป 6 เดือนผมตัดสินใจเรียนต่อภาษาในคอร์สที่สูงขึ้นเป็นเรียนภาษาไปอีก 6 เดือนที่สถาบันเดิมถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง ระบบต่างๆของประเทศออสเตรเลียที่ทำให้คนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่จำเป็นจะต้องมีตำแหน่งสูงๆ หรือเงินมากมาย ทุกคนก็มีความสุขได้และสามารถเข้าถึงทรัพยากรได้เท่าๆกัน จากระบบที่รัฐบาลวางรากฐานไว้


ขณะนั้นผมก็ยังไม่ได้คิดเรื่องที่จะอยู่ต่อหรืออย่างไร เพื่อนๆพี่ๆ ในที่ทำงานก็พูดถึงเรื่องการขอ PR กันอยู่เนืองๆ ในสมัยนั้นผมจำได้ว่าเรียนจบคอร์ส Diploma ก็สามารถที่จะขอ PR ได้แล้วในหลายๆสาขา แต่ส่วนมากคนไทยเราก็จะติดอยู่เรื่องเดียวคือคะแนน IELTS


พอผ่านไป 1 ปี ผมก็ตัดสินใจเรียนภาษาต่ออีก 6 เดือน ในชั้นที่สูงขึ้น ต้องยอมรับว่าภาษาผมตอนมาแรกๆคือ ติดลบเลยครับ Adjectitve, noun, pronoun คืออะไรนี่ผมไม่รู้เลย ฉะนั้นผมอยากจะให้กำลังใจคนที่คิดท้ออยู่ตอนนี้นะครับ


ผ่านไปปีนึงผมยังเรียนภาษาอยู่ที่เดิม แต่ที่เปลี่ยนแปลงคือการตัดสินใจ ย้ายออกมาจากบ้านเช่าคนไทย แล้วเช่าบ้านเอง ... มันไม่ยากอย่างที่คิดเลยครับ เราเลือกบ้านได้หลายแบบ มีให้เลือกทั้งใหม่-เก่า อาจจะเสียเวลาเรื่องการไปดูบ้าน แต่คุ้มกว่าแออัดอยู่กับคนอื่นเยอะแน่นอนครับ (ปล.สุขภาพจิตดีขึ้นมากๆเลยครับ แค่นี้ก็คุ้มแล้ว)


พออยู่บ้านใหม่สภาพแวดล้อมดีผมก็เริ่มลังเลกับการไปเรียนต่อที่อังกฤษ ขณะเดียวกันผมได้รับใบตอบรับจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งในอังกฤษที่ผมสนใจมาก่อน อย่างที่กล่าวมาข้างต้นครับระหว่างปีที่ผมอาศัยอยู่ที่ Melbourne, Melbourne ก็ได้รับตำแหน่งเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกแบบรัวๆเลยครับ ผมมีเวลาทำงาน เก็บเงิน และเรียน ซึ่งพบว่า Australia ให้ความสำคัญเรื่อง Work Life Balance ซึ่งผมเห็นด้วยและชอบมากๆครับ พอผ่านไปได้สักพักผมเริ่มสนใจกับการที่จะอยู่ต่อและขอ PR ที่นี่ ผมเริ่มปรึกษา เอเจนและเรื่อง course เรียนว่าเรียนอะไรแล้วจะขอ PR ได้บ้าง โดยข้อสรุปที่ดีที่สุดในตอนนั้น คือ เรียน ป.โท Accounting ที่ Swinburne University of Technology แต่ก่อนที่จะเข้าเรียนได้ต้องผ่านคอร์สภาษาของ Swinburne ก่อน หรืออีกทางนึงก็ต้องยื่น IELTS ซึ่งแน่นอนครับ....ผมเลือกเรียนภาษา


ในขณะเดียวกันสถาณการณ์การขอ PR ที่ Melbourne (รัฐ Victoria) เข้มข้นขึ้นมากๆ คนอพยพมาด้วยการขอ PR มากขึ้นหลายเท่าตัวจนทำให้รัฐบาลหรือ immigration เปลี่ยนข้อกำหนดกฏเกณฑ์ต่างๆ ให้สูงขึ้น การเรียนโทของผมใช้เวลา 2 ปีไม่รวมเรียนภาษา


ผมเรียนภาษาของ Swinburne ไม่ง่ายเลยครับหากเทียบกับโรงเรียนภาษาในเมืองที่เคยเรียนมาเป็นปี เนื้อหาเข้ม ข้อสอบยาก ผมเรียนในห้องอย่างเดียวไม่พอต้องอ่านหนังสือนอกเวลาด้วย เพราะส่วนมากจะต้องเตรียมเนื้อหาไปแล้วไป debate กัน เหมือนเรียนมหาลัยย่อมๆเลยครับ หลังจาก 3 เดือนผมก็ผ่านคอร์สภาษาของ Swinburne มาได้ เรียกว่าคาบเส้นเลยครับ ระหว่างที่เรียนภาษาก็ทำงานไปด้วยตลอดครับ Cash on hand 5 คืนติดๆ แต่ย้ายออกมาทำงานร้านอาหารไทยแถวบ้านที่เช่าอยู่ ซึ่งค่าแรงเยอะกว่าที่เดิมสองเท่าเลยครับ (แต่ยังถูกกว่าค่าแรงขั้นต่ำมากอยู่ครับ เรื่องค่าแรงนี่ก็ยาว หากมีโอกาสจะคุยให้ฟังครับ).


เข้าเรียน ป.โท ที่ Swinburne เวลาว่างเพิ่มขึ้น แต่ความเครียดก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวครับ เงินเก็บที่หามาทั้งปีละลายไปกับค่าเรียนและบวกด้วยการบ้านที่ไม่มีประณีประนอมกันเลยครับ ป.โท ด้วยความที่เนื้อหาการเรียนก็ไม่ได้สอนแบบละเอียด เน้นการนำมาใช้ซะมาก


ผ่านไปหนึ่งเทอมผมว่าทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะเดาได้ว่าผลการเรียนของผมจะออกมาแบบไหนนะครับ (ตกกราวรูด ครับ ผ่านก็วิชาเดียวแบบคาบเส้นพอดีเป๊ะ) ตอนนั้นจำได้ว่าเครียดมาก ประเมินตัวเองแล้วว่าไม่น่าจะรอด


เริ่มหวาดใจกับการแข่งขัน ขอ PR นี้ครับ โดย 100% (international students) ของเพื่อนในคลาส ลงเรียนเพื่อจะขอ PR กันทั้งนั้นและต่างคนก็ตกคนละ 1-2 วิชา กังวลกันถ้วนหน้าเลยครับ


ผมตัดสินใจศึกษาใหม่เรื่อง การขอ PR และกฎเกณฑ์ต่างๆที่ รัฐบาลกำหนด เนื่องจากการจะมีสิทธิ์ (แค่มีสิทธิ์นะครับ) ยื่นขอ PR ต้องมี Points อย่างต่ำที่คำนวณอ้างอิงจากเว็บรัฐบาลและต้อง รอ! รอเขาเรียกว่าให้ส่งใบสมัครได้ คือส่งครั้งแรกคือคำร้องเฉยๆครับ ว่าเรามีความประสงค์อยากสมัครวีซ่านี้ แต่ยังสมัครไม่ได้นะครับ แล้วคำร้องของเราก็จะพาเราไปอยู่ในคิวรอให้เจ้าหน้าที่พิจารณา แล้วระหว่างรอ ถ้ามีคนที่คะแนนมากกว่าคุณสมัครเข้ามา คุณก็จะถูกดันคิวห่างออกไปเรื่อยๆครับ (หากมีโอกาสจะมาเล่า เรื่องกฎเกณฑ์ ระบบคะแนนนะครับ)...



จุดเปลี่ยน

จากที่เล่าคร่าวๆเรื่องคิวใบสมัครแล้วคิดว่าอีกสองปีคงมีคนอีกมากมายที่ทำคะแนนโดดข้ามหัวเราไป จำได้ว่าวันนั้นนั่งอ่านทั้งคืนโดยไม่ได้นอน อ่านแบบ Google Translate เนี่ยแหล่ะครับ พบว่ามีวีซ่า PR อีกตัวนึงที่ดูๆแล้วจะง่ายกว่าอันที่ผมจะขอ แต่ผมต้องย้ายไปเรียนที่รัฐ Tasmania นี่สิครับ


เช้าถัดมาผมโทรหาเอเจนที่ผมใช้บริการอยู่เลยครับ พี่ๆเค้าก็ไม่ทราบเลยครับเพราะ พี่ๆเค้าให้คำปรึกษาเรื่องวีซ่าไม่ได้ และตั้งแต่ทำมายังไม่มีนักเรียนพี่เค้าคนไหนไปเรียน Tasmania หรือเจอข้อมูลอย่างผมมา


ผมเชื่อตัวเองและเว็บไซต์รัฐบาลมากกว่า "เขาเล่าว่า" หรือ "เพื่อนบอกว่า" ครับ ตอนนั้นลืมเรื่องที่จะไปเรียนต่อที่อังกฤษเลย ผมขอให้เอเจนช่วยสมัครเรียนที่ University of Tasmania ให้เลยครับ และต้องเริ่มเรียนอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า เรื่องค่าเรียนรอบนี้ผมต้องรบกวนที่บ้านครับ ผมพยายามหางานทาง internet แล้วแต่ดูเหมือน Tasmania จะเป็นเมืองสำหรับธรรมชาติจริงๆครับ บรรยากาศเงียบกริบไม่มีงานเสริมใดๆ วีซ่า PR ที่ Tasmania นี่จะเป็นแบบ State Sponsorship (subclass 190) คือเรียนจบในรัฐแล้ว มี points พิเศษอีก 5 คะแนนครับ ตอนนั้น Tasmania ก็มีลิสต์ skills ที่ State ออกมาโดยเฉพาะ พูดง่ายๆคือ เปอร์เซ็นต์สูงกว่าครับ แผนของผมตอนนั้นคือเรียนไป บวกอ่านหนังสือสอบ IELTS


Tasmania สำหรับผมน่าอยู่กว่าที่คิดครับ เมืองสะอาดสงบ ผู้คนแจ่มใส เดินผ่านใครก็ Say hi กันครับซึ่งผมประทับใจมาก เรื่องเรียนก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ แต่เรื่องสอบ IELTS ไม่ง่ายเลยครับเนื่องจากตามกำหนดผมต้องการคะแนน IELTS 7.0 (แต่ละแบนต้องไม่ต่ำกว่า 7 ด้วยครับ) ผมสอบ IELTS ไปทั้งหมด 10 ครั้ง(รวมตอนมาแรกๆเพื่อใช้สมัครมหาวิทยาลัยที่อังกฤษ) ใช่ครับ ครั้งละประมาณ 330$ AUD ก็มีบาง Band ผ่านและยังไม่ผ่านแต่ overall ก็ยังไม่ถึง


ในปีนั้นผมทราบว่ามีข้อสอบใหม่ที่รัฐบาลก็ยอมรับและสามารถนำไปใช้ในการยื่นวีซ่าได้ เรียกว่า PTE ผมไม่รอช้าเริ่มศึกษา และหา tutor ออนไลน์ ติววนไป และก็มุ่งมาสอบ PTE เต็มตัวครับ หลังจากเรียนจบ ผมก็ย้ายกลับมาอยู่ที่ Melbourne ชั่วคราว เพื่อสอบภาษาโดยเฉพาะครับ เพราะศูนย์สอบ PTE ที่ Tasmania ยังไม่มี ภาษาก็ยังไม่ผ่าน สอบไปเรื่อยๆครับ... จำได้ว่าวีซ่านักเรียนตัวเดิมจะหมดอีกไม่กี่สัปดาห์ และสอบครั้งนั้นผมทำได้ไม่ดี หลังจากกลับการสอบ ผมก็สมัคร Graduate Visa และจ่ายเงิน (subclass 485 - สำหรับผู้ที่เรียนจบที่ออสเตรเลียอยู่ทำงานต่อได้ 18 -24 เดือน) ทันทีที่กลับถึงบ้าน


ผลสอบ PTE จะออกเร็วกว่า IELTS ครับ ตี 4 เช้าวันถัดมาผลคะแนนออก... ผมผ่านแล้วครับ ดีใจจนไม่เสียดายค่าวีซ่า 485 ไปเลยครับ


จากนั้นผมก็ตั้งหน้าจัดเรียงเอกสาร ส่งคำร้องขอสมัคร PR ทันทีครับเพราะหลังจากที่ผมสอบภาษาผ่าน ปรากฏว่า skilled list ของ Tasmania ที่เค้ากำหนดเองมันหายไปเหลือแต่ list ใหญ่ (ที่ใช้เหมือนกันทั้งประเทศ) จากนั้นผมก็รู้เลยว่าทุกนาทีมีค่า กฎเกณฑ์ต่างๆจะเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็ได้ ดีปีสุดท้ายของการเรียนผมได้เตรียมเอกสารต่างๆไว้แล้ว ทั้งการต่อ Passport, แปลเอกสารต่างที่ต้องใช้และขอ Police Check ไว้เรียบร้อยแล้ว จะเหลือก็แต่ผลสอบภาษาอังกฤษครับ



วันที่รอคอย

พอผลสอบออกผมก็สมัคร Skill Assessment ของ CPA Australia (เป็นองกรณ์รับรอง นักบัญชีของ Australia ครับ) หลักๆใช้ใบจบการศึกษากับผลสอบภาษาครับ มีอีก Choice หนึ่งสำหรับนักบัญชีหากอยากได้รับการจดรับรองเป็น Accountant จาก CPA ต้องเรียน Professional year เพิ่มอีก 1 ปี ใช้รับรองได้โดยไม่ต้องใช้คะแนน IELTS 7 แต่!! คะแนนภาษาก็มีผลต่อ Points ขั้นต่ำเมื่อยื่นวีซ่า. ใช้เวลา 1 สัปดาห์ก็ได้ใบรับรองมา


หนึ่งสัปดาห์ถัดมาก็ได้อีเมล์ invitation จากรัฐบาลว่าสมัครวีซ่านี้ได้ ผมก็สมัครในวันถัดไปเลยครับ ถึงตรงนี้อยากจะแนะนำผู้อ่านว่า การเตรียมตัวเตรียมเอกสารให้พร้อมเป็นเรื่องสำคัญมากๆ และสองเดือนถัดมา (แบบสองเดือนเป๊ะๆเลยครับ) ผมได้ PR ครับ และ ณ ขณะที่เขียนนี้ ผมก็ได้คิวสอบ Citizen แล้วครับ


อาจะฟังดูง่ายใช่ไหมครับ ไม่เลยครับ ผมต้องทนขอให้ที่บ้าน support ไม่มีรายได้เลย 2 ปีเต็ม เครียดมากครับและเที่ยวไม่ลง ไม่เคยรู้สึกหายใจทั่วท้องเลยตลอด 2 ปี เดือนไหนที่ใช้เงินหมดเร็วก็ไม่กล้าโทรไปขอ เพราะเงินที่บ้านส่งมาให้มันก็สุดกำลังของเค้าแล้ว หอยกระป๋อง $0.75 และ ไก่อบ ที่ลดครึ่งราคาหลัง 8.00 pm ของ Woolworths คืออาหารประจำชาติของผมตลอดระยะเวลา 2 ปีนั้นเลยครับ มันคือช่วงชีวิตหนึ่งที่มีค่าสำหรับผมมาก และผมคงไม่มีวันลืมความรู้สึกในวันนั้นแน่นอน


ในทางกลับกัน ความลำบากที่เกิดขึ้นมันคือสุดยอดแรงผลักดันให้ผมตลอดเวลาว่าผมต้องทำให้ได้ ผมสอบ IETLS กับ PTE รวมกันทั้งหมด 19 ครั้ง ซึ่งตอนที่ยังสอบไม่ผ่าน ผมไม่เคยนับว่าสอบครั้งที่เท่าไหร่แล้ว แค่หวังว่าทุกครั้งมันจะเป็นครั้งสุดท้าย ผมอยากให้กำลังใจคนที่กำลังพยายามอยู่ เมื่อถึงจุดที่ท้อที่สุดอย่าเพิ่งถอยครับ


อีกอย่างหนึ่งที่ได้ยินพูดกันบ่อยๆคือ เรื่องค่าใช้จ่าย ความ “คุ้ม หรือ ไม่คุ้ม” อันนี้คือความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ แพงมาก! สำหรับครอบครัวฐานะปานกลางแบบผม


แต่...หลังจากได้ PR แล้ว โอกาสหลายๆอย่างก็มากขึ้น เช่นการหางานทำหรือการลงทุนทำธุระกิจ

รวมไปถึงรักษาพยาบาลฟรี (ยกเว้นฟัน แต่ก็มีประกันที่ถูกกว่าราคาปกติ) ในกรณีที่อยากเรียนต่อก็สามารถเรียนต่อ ในเรทของนักเรียน local ซึ่งถูกกว่า international students หรือกู้ยืมเรียนได้หลังจากถือ PR 2 ปี และก็มีสิทธิเป็น Citizen ถือพาสปอร์ท ได้ตลอดชีวิต ไปหลายๆประเทศไม่ต้องจ่ายค่าวีซ่า...อันนี้คร่าวๆนะครับ


จากประสบการณ์ของผม 80% ของการบรรลุเป้าหมาย คือการวางแผนครับ ถ้าเรามีแผนที่ดีก็เหมือนงานเราเสร็จแล้ว 80% และที่เหลืออีก 20% คือการบังคับตัวเองให้อยู่บนแผนที่วางไว้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเรื่องราวของผมจะมีโยชน์บ้างกับผู้อ่าน ไม่มากก็น้อยครับ...ขอบพระคุณครับ

ดู 1,491 ครั้ง3 ความคิดเห็น
bottom of page