top of page
ค้นหา

สิ่งที่ชอบที่สุดของการเรียน Higher Education ออสเตรเลีย (จากเด็ก ODOS)

ก่อนอื่นหลายคนอาจไม่คุ้นกับคำว่า Higher Education หรืออย่างที่ย่อว่า Higher Ed ก็คือการศึกษาที่สูงขึ้นหลังจากจบมัธยมปลาย จะมีให้เลือกหลากหลายมากกกกกก (มากจริงๆ) แล้วแต่ผู้เรียนจะชอบ ใครอยากเรียนจบเร็วๆ ได้งานทำเลยก็มีหลักสูตรแค่ 1 ปี ที่นายจ้างยอมรับมากมาย


แต่ถ้าใครยังตัดสินใจไม่ได้ว่าชอบสาขานั้นๆหรือเปล่าก็มีหลักสูตรที่เรียกว่า Diploma หรือ Associate ซึ่งระยะเวลาเรียนอยู่ที่ 1-2 ปีและสามารถต่อปริญญาตรีได้หากใครคิดว่าใช่ หรืออยากไปทำงานเลยก็ได้ ส่วนเรื่องการเรียนปรับพื้นฐาน หรือ Foundation ก่อนเข้า High Ed เราขออนุญาตเล่าใน post ถัดไปเพราะรายละเอียดค่อนข้างเยอะเหมือนกัน


ปีหนึ่ง...เพราะความเชื่อที่ว่า การศึกษา สามารถเปลี่ยนชีวิตได้

ด้วยความเชื่อที่ว่าการเรียนสามารถเปลี่ยนชีิวิตได้มาตั้งแต่เด็ก ทำให้ชอบเรียนมาก จนเมื่อมีโอกาสสอบชิงทุนได้มาเรียนต่อต่างประเทศ (ทุน ODOS หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน)


เริ่มจากคอร์สเรียนปรับภาษา สองเดือนต่อด้วยคอร์ส Foundation Science Stream (9 เดือน)


มาเริ่มอธิบาย ปีการศึกษา ของมหาลัย คอร์สปริญาบัตร ที่ออสเตรเลียเพื่อผู้อ่านจะไม่งงนะคะ

80% ของคอร์สเรียนระยะเวลาอยู่ที่ 3 ปี

ในหนึ่งปี มีสอง Study breaks (ปิดเทอม)


เทอม 1: เริ่มประมาณ ต้นเดือนมีนา - มิถุนา

ปิดเทอม ฤดูหนาว (winter break): กลาง มิถุนา - กลาง กรกฎา

เทอม 2: กลาง กรกฎา - ปลายเดือน พฤศจิกา

ปิดเทอม ฤดูร้อน (Summer break): ปลาย พฤศจิกา - กุมภา


เราเริ่มเรียนปริญญาตรี สาขา Applied Science (Aviation) การบินนั่นเอง ที่ RMIT University, Melbourne ปีแรกมาได้ซักระยะก็เห็น email จากอาจารย์ที่คณะว่ามี Summer School ที่ เกาหลี Korea Aerospace University (ยังจำได้อยู่เลยคนเกาหลีเรียกว่า ‘ฮังกงเด’) ตอนนั้นอายุ 20 คืออารมณ์แบบพร้อมลุยไม่กลัวอะไรเลย ไม่รู้ภาษาเกาหลีซักคำ ภาษาอังกฤษก็ยังแค่พอใช้งานได้ ก็ไปแลกเปลี่ยนที่เกาหลีคนเดียว 1 เดือนเต็ม แต่จะกลับมาเรียนช้าในเทอมถัดไปที่ออสเตรเลีย 1 สัปดาห์ ก็คิดว่าไม่มีปัญหาอะไร


เดินทางคนเดียวไปเกาหลีด้วย Passport ไทย ก็ต้องอธิบายเปิดเอกสารให้ ตม ที่เกาหลีดูอีกยก หลังจากลงเครื่อง สุดท้ายไปเจอเพื่อนที่คณะจากออสเตรเลียบางคนด้วยเค้ามาถึงที่มหาลัยแล้ว ต้องขอบอกก่อนว่าเพื่อนมหาลัยที่นี่คือตรงข้ามกับที่ไทยอย่างสิ้นเชิง คือไม่มีการเกาะกลุ่มกัน ไม่มีการไปกินข้าวหรือไปช้อปด้วยกัน จะมีความ independent สูงมาก ทุกคนมีธุระของตัวเอง ส่วนมากทำงานเสริมกันไม่ที่ คาเฟ่ก็ร้านอาหาร เราก็ได้เงินจากทำงานที่คาเฟ่เนี่ยแหล่ะไปลงเรียนที่เกาหลี ซึ่งค่าเรียนถูกกว่าที่ออสเตรเลียมากกกกกก


กลับมาที่เรื่องเรียน เรื่องระบบการศึกษาต่อ ก่อนที่จะออกอ่าวไปมากกว่านี้ ซัมเมอร์ที่เกาหลีเราเก็บมาได้ 2 วิชา ก็แปลว่าเราก็ไม่ต้องเรียนสองวิชานั้นที่ออส คือเป็นอะไรที่เราไม่รู้มาก่อนว่าทำแบบนี้ก็ได้เหรอ??? เหมือนการเบิกเนตรให้เด็กอย่างเรา o.0


แต่การจะทำแบบนี้ได้ก่อนอื่นต้องได้รับอนุญาตจาก Program Coordinator (อาจารย์ที่ใหญ่สุดในคณะ) ซึ่งอาจารย์จะเป็นคนดูว่าวิชาที่เราจะไปเรียนเนื้อหา วิธีสอบ คล้ายกับวิชาที่มีสอนในคณะมากน้อยแค่ไหน ถ้าเทียบเคียงแล้วเป็นประโยชน์ต่อตัวนักเรียน อาจารย์ก็จะอนุมัติให้ได้ ซึ่งสำหรับนักเรียนต่างชาติ ขั้นตอนนี้สำคัญมาก!!! ไม่ใช่ว่าอยากเรียนก็ไปลงเรียนเลยเพราะอาจจะผิดกฎวีซ่านักเรียนได้และอาจถูกยกเลิกวีซ่าได้ ยกเว้นพวก Short Courses สนุกๆ อย่างเช่น เรียนภาษาที่สาม เรียนถ่ายรูป เต้น เย็บปักถักร้อยที่ระยะเวลาสั้นๆ อันนี้สามารถลงเรียนได้


ป.ตรี ปกติที่ออสเตรเลียเรียนกันเทอมละ 4 วิชา, ปีละสองเทอม (หลักสูตร 3 ปี = 24วิชา) หลังจากจบปี 1 เราเก็บไปได้ 10 วิชา เพราะรวมที่ไปแลกเปลี่ยนเกาหลีตอนปิดเทอม


ปิดเทอม Summer Break ทำอะไรได้บ้าง?

มหาลัยที่ออสฯ ส่วนมากจะปิดซัมเมอร์ ช่วง Nov - Jan 3 เดือน ก็แสดงว่าเรามีเวลาว่างตั้ง 3 เดือน น่ะสิ ให้เดาว่าเราจะทำอะไร..? มีโจทย์ว่า 1.อยากกลับไทยไปเที่ยว/พักผ่อน 2.อยากทำไปอาสาสมัครออกค่าย (เหมือนเพื่อนๆที่เรียนที่ไทยทำกันบ้าง T.T) 3.เรียนเก็บหน่วยกิจ เพราะมีเวลาว่างตั้งสามเดือน และคำตอบสุดท้ายที่ได้คือ


"ออกค่ายอาสาสมัคร และ เรียนเก็บหน่วยกิจ"


ปล. นักเรียนต่างชาติที่ออสเตรเลียสามารถทำงาน full-time ได้อย่างถูกกฏหมายในออสเตรเลีย ระหว่างปิดเทอม


...แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าเราจะทำสองอย่างในเวลาเดียวกันได้ยังไงนี้สิ???!


เราก็เริ่ม google เนี่ยแหล่ะ หา “Student Volunteer Thailand” เลยครับพี่น้อง แต่จะเรียนเก็บหน่วยกิจได้ไงล่ะ? ก็เลยลองไป Search ในช่องเสิร์ชของมหาลัยดู พบว่ามี volunteer ที่ไทย ที่อยู่ในวิชา Science Project


แต่... วิชานี้อยู่ในโปรแกรมที่เราต้องเรียนมั้ยนี่สิ?

...ไม่มี!


แต่....มีวิชาเลือกฟรีที่เราต้องเรียน และวิชาเลือกก็แปลว่าจะเลือกอะไรก็แล้วแต่ใจเลย.... บิงโก!!!!

เงินที่เพิ่งเก็บได้จากค่าทำงานเสริมครึ่งปีหลังเป็นค่าตั๋วและค่าเดินทาง Go to Chiang Mai, Thailandddddddd


ตื่นเต้นมากเพราะตอนอยู่ไทยก็ไม่เคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวเชียงใหม่เลยสักครั้ง มากไปกว่านั้น การได้ไปค่ายครั้งนี้ ถือว่าคุ้มสุดๆ เพราะนักเรียนที่มาค่ายเป็นต่างชาติหมดมีเราเป็นคนไทยคนเดียว บวกด้วยความที่เราโตบ้านสวนทำให้รู้สึกชิวมากเลย เหมือนอารมณ์เป็น Guide ให้เพื่อนด้วยนิดๆ 555


ถ้าจำไม่ผิดในค่ายมีประมาณ 12 คน มาจาก New Zealand, Australia และ Singapore อยู่ค่ายที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ สองสัปดาห์ บวกการที่เราต้องเขียน journal ส่งอาจารย์มหาลัยตอนท้าย ได้มาอีก 1 วิชา


ยังไม่พอ กลางเดือนมกรา เรากลับมาออส มาเรียน Summer Semester วิชาเลือกอีก 1 วิชา สรุปปีหนึ่งบวก Summer เราเก็บมา 12 วิชา (4 วิชา Sem#1 + 2 วิชา ที่เกาหลีช่วงที่ออสฯ ปิด winter break + 4 วิชา Sem#2 + 1 วิชา ค่ายอาสา + 1 วิชา Summer)/// (จากปกติ 8 วิชาเท่านั้นที่ต้องเรียน)


ปีสอง... จบปีสองเทอมแรกก็ไม่มีอะไรตื่นเต้นมาก

แต่มี winter break ช่วงเดือน June - July ไปไหนดีนะ? เริ่มอยากหาความรู้ที่มันตรงสายเรามากขึ้น บวก อยากไปเที่ยว (จริงๆ อยากอย่างหลังมากกว่า XD) ก็เลยลอง Search Airport Training ดู พบว่ามีที่ Singapore Aviation Academy เปิดสอน 1 สัปดาห์


แต่จะไม่ได้ credit หรือเทียบโอน เพราะไม่มีสอบเหมือนมหาลัย เป็นสถานที่อบรมเท่านั้น แต่ก็ไม่เป็นไร ถือว่าไปหาประสบการณ์และให้โอกาสตัวเองได้เจออะไรใหม่ๆ เราก็เลยตัดสินใจสมัครเรียน จองตั๋วเครื่องบินและที่พัก...เช่นเคย เงินที่เพิ่งเก็บได้มาหมาดๆ จากงาน part time... หายไปในคลิกเดียว T.T แต่ในทางกลับก็มีการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นรออยู่


ไปลุยเดี่ยวที่ Singapore กานนนนน!!


เราได้มีโอกาสไปอบรมซึ่งสนุกมาก ครึ่งห้องเป็นพี่ๆ จาก AOT ที่ไทย มาจากทั้งสุวรรณภูมิและดอนเมือง มี Manager ของ Adelaide airport, Hong Kong Airport และอีกหลายที่จำไม่ได้เลย อบรมได้ไปดูห้องควบคุม ระบบบริหาร Changi Airport รู้สึกว่าได้เรียนรู้อะไรเยอะมากๆ



(ATC training centre ของ Australia, หารูปที่ Singapore ไม่เจอ T.T)


เทอมสองปีสอง ผ่านไปก็ไม่มีอะไรมากเช่นเดิม แต่พอมานั่งนับวิชาเรียนดู ปรากฎว่า เห้ยยยย จบปีสองเราเรียนไปทั้งหมด 20 วิชาแล้ว ซึ่งจะจบ ป.ตรีหลักสูตรเราต้องเรียน 24 วิชา แปลว่า เหลืออีกแค่เทอมเดียว (4 วิชา) ก็จบแล้ว....แต่....ยังเรียนสนุกอยู่เลยเนี่ยสิ!!!


Plan B: เลยคิดว่าหาอะไรเรียนต่อดีที่ไม่ยาวเกินไปและ (อาจจะ)เอาไปใช้ประโยชน์ได้ สรุปคือจบที่ เรียนควบ ป.ตรีอีกใบ สาขา Business Management (เรียน High Ed ที่ ออสฯ สามารถเรียน Double Degree ได้) แต่เรื่องค่าเทอมอีกใบนี้ต้องรบกวนที่บ้านแล้วเพราะทุนที่เราได้มาครอบคลุมแค่ปริญญาใบเดียว สรุปคือ ที่บ้านโอเค


แต่มาอีกปัญหานึงคือ ทุกคนที่เรียนหลักสูตร Double Degree นี้เค้าเริ่มเรียนแบบ เข้มข้นกันตั้งแต่ปี 1 เพื่อให้จบภายในสี่ปี


แต่เราเพิ่งมาเพิ่มวิชาเรียนตอนเราจะขึ้นปีสาม!! ที่อ่านๆมาตอนแรกเป็นแค่น้ำจิ้ม ความมันส์มันกำลังจะเริ่มขึ้นค่ะทุกคน


เรามีเวลา สองปี ที่จะต้องเรียนเก็บทั้งหมด 17 วิชา ซึ่งไม่แปลกเท่าไหร่เพราะตกเทอมละ 4 วิชา แต่มัน ซับซ้อน ตรงที่บางวิชาที่ต้องเรียนนั้น ต้องผ่านวิชาอื่นมาก่อนถึงจะเรียนได้ พูดง่ายๆ คือ วิชามันพ่วงกัน และไม่สามารถลงเรียนพร้อมกันได้ ต้องผ่าน A ก่อนถึงไป B ได้ เพราะฉะนั้นต้องมีการวางแผนที่ดีมากๆ ถึงจะจบสี่ปีพร้อมเพื่อนๆได้


(สนามสอบ RMIT)


ขึ้นปีสาม...ไม่มีใครหยุดเราได้ นอกจากเราหยุดตัวเราเอง

ปีสามเทอมหนึ่ง เราลงเรียน 4 วิชา (ณ ตอนนี้ในทางเทคนิคเราจบ ป.ตรี ใบแรก Applied Science แล้ว) แต่เป้าหมายของเราคือ ต้องจบใบที่สองภายในเวลา ปีครึ่ง (ปีสามเทอมสอง + ปีสี่) ที่เหลือ ใช่ค่ะ ไม่ได้อ่านผิด 1.5 ปี กับ ปริญญาใบที่ 2 ซึ่งต้องขอออกตัวก่อนว่าไม่ได้เรียนเก่งนะคะ แต่เพราะเชื่อว่า 'ถ้าเราพยายามมากพอ เราไม่มีอะไรที่ต้องกลัว' เลยอยากทำให้มันดีที่สุดและจะทำทุกอย่างที่จะทำได้ เพื่อที่จะไม่ต้องมาเสียดายทีหลังว่า ทำไมตอนนั้นฉันไม่ทำ

ทางออกของเราคือ เราไปลงเรียนควบ สองมหาลัย!! ในเวลาเดียวกัน แต่ตารางเรียนอาจจะแน่นขนัดซักนิดดดดนึง แต่ท้ายสุดแล้วเราโอนหน่วยกิจมาทบกันได้


ซึ่งช่วง winter break 3 สัปดาห์นี้ เราลงเรียนที่ Swinburne University สองวิชา แต่ก็ต้องวิ่งวุ่นหน่อยเพราะต้องติดต่ออาจารย์ทั้งสองมหาลัย นั่งรถไฟไปเรียนอีกมหาลัยนึงระหว่างเปลี่ยนคาบแล้วนั่งกลับมาทำงานกลุ่ม LOL


และที่พีคคือ ปีสามเทอมสองนี้ เราต้องเรียนทั้งหมด 5 วิชา และ! winter semester ที่ Swinburne ยังไม่จบ เป็นช่วง ส่ง report และ present project โชคดีที่ทั้งสองมหาลัยติดสถานีรถไฟ คือบางวันมี 5 คลาสต้องวิ่งไปเรียนทั้งสองมหาลัย ก็รู้สึกมันส์และสนุกดี ...เป็นไงล่ะชอบเรียนใช่มั้ยฮ่าๆๆ วิ่งเรียนแบบนี้อยู่สองสัปดาห์ก็อ่วมอยู่เหมือนกันค่ะ


และแล้วปีสามก็ผ่านไปด้วยดี มีเพื่อนคนไทยเพิ่ม ที่มาจาก ม.เกษตร วิศวะการบิน เพราะเหมือนหลักสูตรเค้าก็ควบ management เหมือนกัน แต่ไม่ต้องเร่งอย่างเรา LOL


(Jetstar เวียตนามอยู่ตึกเดียวกับ Vietnam Airlines มีงานวัน Women Day)


ปีสี่ ... Final Year

ก่อนเปิดเทอมก็มีโอกาสไปฝึกงาน (เรีื่องติดต่อขอฝึกงานก็สนุก ไว้มีโอกาสจะมาเล่านะคะ) กับองค์กรชื่อ Aviation/Aerospace Australia สนุกมากเป็นช่วง Australian International Airshow ด้วย ได้เข้าไปช่วยทำงาน executive conference, ดูเครื่องบินทั้งฝูงรบ


เปิดเทอมมาแอบเหมือนในหนังเลยที่ปีสี่จะมีความเฟี้ยวฟ้าว... ปีนี้ก็เรียนสบายๆ เทอมละ 3 วิชา ก็แอบโหวงเหวงเหมือนกันเพราะรู้สึกว่าค่อนข้างว่างเกินไป เราก็เลย Volunteer แหลกลาญเลย ไป intern กับ education agent ไทยบ้าง, ทำกองเลือกตั้งของคณะ นศ มหาลัย, ติวหนังสือให้รุ่นน้อง, ทำงานเสริมบ้าง สุดท้ายก็เรียนจบที่ Distinction ได้ เย่! ฟลุคได้ Top15 ของคลาสด้วย (ไม่รู้เค้าคำนวณกันยังไง) เรื่องเกรดตอนเรียนเนี่ยจำได้เลยว่าปีแรกหมดหวังมากๆ เพราะเหมือนเทอมแรกเกรดไม่ค่อยดี เราเลยไม่ได้หวังอะไรมาก แค่ทำให้ดีที่สุด จำได้ว่าเวลาเกรดออกจะส่ง log in ของมหาลัยต้องให้คนอื่นดูให้ ไม่กล้าดูเอง แต่ไปๆมาๆเกรดจบก็มาถึง 3.3 ได้ก็ดีใจมากๆ


ที่เล่ามาทั้งหมดข้างต้นนั้น เป็นเพียงโปรแกรมการเรียนของเราคร่าวๆ (ที่คิดเอง แพลนเอง 555) ยังไม่ได้เล่าถีงเรื่องงาน Part time การเข้า Workshops ต่างๆกับ Volunteer เลยนะ สุดมากเหมือนกัน เคยนับเล่นๆ ระหว่างเรียนเรา Volunteer ไปไม่ต่ำกว่า 1,000 ชั่วโมง เราคิดว่าเป็นอะไรที่คุ้มมากๆ ถึงแม้จะไม่ได้ผลตอบแทนเป็นตัวเงิน แต่เราก็ได้ทักษะอย่างอื่นเพิ่มขึ้นแทน ตั้งแต่ติดต่อประสานงาน พบปะผู้คน ทั้งเพื่อนนักเรียนไปจนถึง Executive, CEOs ของบริษัทต่างๆ ได้มีโอกาสพูดบนเวที ในงานปฐมนิเทศของนักศึกษาใหม่เป็นร้อยๆคน มันก็เป็นความรู้สึกที่สุดมากๆ ไม่แพ้การเรียนที่ไทยเลยนะ


(Flinders ตอนเช้าประมาณ 7.30 am เพื่อไปเรียนคาบเช้า)


สรุปคร่าวๆ ของข้อดีการเรียนมหาลัยระดับป.ตรี ที่ออสเตรเลีย จากประสบการณ์ที่เราเจอคือ

1. ชีวิตเป็นของเรา เราเป็นนายตัวเอง อยากเรียนอะไรที่ไหนเมื่อไหร่ ทำโปรเจคอะไร ได้หมด เรียนให้สนุกเต็มที่ อยากไปลองเรียนมหาลัยอื่นก็ได้ ลืมเล่าให้ฟังว่าโปรเจคจบเราขออาจารย์ไปทำ Research ที่เวียตนาม (Jetstar) ตอนแรกอาจารย์มี connection ที่ London ด้วย แต่ตังค์ไม่พอ T.T ฮ่าๆๆ แต่เท่าที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็อาจจะพอเดาได้ว่าเราแทบไม่มีเงินเก็บเลย แต่สำหรับเรามันคุ้ม ซึ่งก็แล้วแต่คนอ่ะนะ เพื่อนเราบางคนมาเรียนทำงานไปด้วยไม่ใช้ตังค์เลยก็มีเงินเก็บ เป็นแสนๆบาทเหมือนกัน


2. เคารพความคิดกัน ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ รุ่นพี่รุ่นน้อง คุยกันโต้เถียงกันได้หมด ทุกคนเคารพความคิดเห็นที่แตกต่างของกันและกัน ไม่มีการตัดสินกัน ว่าถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี เพราะทุกคนมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น


3. มีความรับผิดชอบ และการวางแผน อย่างที่อ่านมาข้างต้น คือการเรียนที่นี่มัน Free style มาก เที่ยวถึงเช้าได้แต่ report คุณทำไปถึงไหนแล้ว? มี quiz ได้อ่านหรือยัง? Deadlines due date ไม่มีหยวนๆ ไม่มีประกาศเตือน ที่สำคัญ ไม่มี line กลุ่มที่เพื่อนคอยเตือน ซึ่งสำหรับเราคิดว่าหน้าที่พวกนี้มันทำให้เราโตขึ้นมาก ยิ่งหากทำงานไปด้วยก็ต้องรับผิดชอบ เรื่องตรงต่อเวลาสำคัญมาก


ท้ายที่สุดนี้ต้องขอขอบคุณผู้อ่านทุกๆท่าน สำหรับเวลาอันมีค่าที่สละมาอ่านบทความนี้.. หากอยากให้เล่าประสบการอะไรอีกติดต่อทาง TPL มาได้นะคะ มีอีกหลายเรื่องมากๆ เรื่องโดนคนไทยโกง โดนหลอกจากร้านอาหารไทยก็เพียบ


ไว้พบกันใหม่ค่ะ ^_^




ดู 104 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด
bottom of page